อตีตา
อตีตา
 

อตีตา

ละครดังที่คิดถึง จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.20 น.

บทประพันธ์ : ทมยันตี บทโทรทัศน์ : อัณณ์

อรรคพันธ์ นะมาตร์,ภัทรเดช สงวนความดี,ฝนทิพย์ วัชรตระกูล,ทิสานาฏ ศรศึก,สรพงศ์ ชาตรี,วินัย ไกรบุตร,ตรีวรัตถ์ ชุติวัฒน์ขจรชัย,ภาณุ สุวรรณโณ

เรื่องย่ออตีตา

เปิดเรื่องที่ การรบครั้งที่สอง เมืองใจและนักรบบางระจันต่อสู้กับข้าศึกอย่างห้าวหาญ  และนำชัยชนะกลับสู่ค่ายท่ามกลางความยินดี  และ ความเศร้าเสียใจของครอบครัวที่สูญเสีย

จันกะพ้อ ดีใจที่พ่อจันหนวดเขี้ยวนำชัยกลับมา ในขณะที่นายจันหนวดเขี้ยวบอกว่า มีอีกแรงสำคัญที่ช่วยในครั้งนี้คือ เมืองใจ

เมืองใจ ชายชาตรี พ่อเป็นขุนนางที่พากันหนีมาจากอโยธยา เนื่องจากทนสภาพที่ อโยธยามี พระพุทธเจ้าหลวง สองพระองค์ ไม่ได้ และต่างก็มาเป็นกำลังสำคัญของชาวบ้านบางระจัน จนบิดาของเมืองใจตายไป เหลือเพียงเมืองใจที่ยังคงอยู่ร่วมรบกับชาวบ้านบางระจัน

กาหลงแอบหลงรักเมืองใจ ที่แม้แต่จันกะพ้อกรู้ดี แต่ที่ทั้งสองคนไม่รู้ คือ เมืองใจ แอบมีใจให้ จันกะพ้อ แต่ไม่กล้าแสดงออก

นายแท่นและนายจันหนวดเขี้ยว ผู้นำค่าย เรียกประชุมชายฉกรรจ์ทั้งหลาย   แม้ศึกครานี้จะชนะ  แต่ฝ่ายข้าศึกก็ย่อมต้องส่งนายทัพพร้อมอาวุธมาใหม่   จึงไม่น่าจะนิ่งนอนใจ  หนทางที่จะชนะศึกได้คือต้องมีปืนใหญ่มาสู้ศึก

พระอาจารย์ธรรมโชติ ผู้เป็นที่เคารพสักการะ ศูนย์รวมกำลังใจให้ชาวบ้านบางระจัน มองหน้าศิโรตม์แล้วรำพึงเพียง กรรมมะ พันธะ สัญญา

เมืองใจได้รับมอบหมายให้ออกเดินทางไปพร้อมกับเกิดและคงเดินทางสู่อโยธยาเพื่อขอปืนใหญ่จากออกหลวงศรเสนี   ผู้เป็นตา

ระหว่างทาง ทั้งสามพบข้าศึกซุ่มโจมตี   เกิดและคงยอมสละชีพเพื่อรั้งให้เมืองใจหนีไป

เมืองใจเดินทางเพียงลำพังจนถึงวัดมเหยงค์

ฟ้าฝนเริ่มเทกระหน่ำ..

ลมวนหมุนพัดรอบตัวเมืองใจอย่างมหัศจรรย์


ที่โลกปัจจุบัน 

บริษัท ศิวะกรุ๊ป    เป็นบริษัททาง ออกาไนเซอร์  ที่คุณศิวะ สามีที่เสียชีวิตไปแล้วของ คุณปานทิพย์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น  โดยภายหลัง  มีคุณปานทิพย์ ทำหน้าที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่  มีคุณปรางทองน้องสาวร่วมถือหุ้นด้วยจำนวนหนึ่ง และต่อมา การขยายหุ้น ลงทุนบริษัทเพิ่ม ก็ได้ คุณก้องเกียรติ เพื่อนของคุณศิวะ ที่คุ้นเคยกับ คุณปานทิพย์เป็นอย่างดี มาซื้อหุ้นเพิ่ม  โดยมี คุณปานทิพย์ เป็นหุ้นใหญ่

คุณปานทิพย์เคยเป็นผู้บริหาร ต่อมา ด้วยวัยและใจมาทางธรรม มากขึ้น ก็ปล่อยให้คนสนิท คือ คุณอรรถ และลูกชาย อรรถวิทย์ เป็นผู้บริหาร และ ให้ ศิโรตม์ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก มาเป็นประธานบริหาร

ศิโรตม์ หนุ่มหล่อ ลูกชายคนโตของเจ้าของบริษัทออกาไนซ์ใหญ่ ศิวะกรุ๊ป เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเนื่องจากผู้เป็นพ่อถึงแก่กรรม    ศิโรตม์ใช้ชีวิตอย่างชายหนุ่มเจ้าสำราญ  ไม่สนใจการงาน  เพราะไม่ค่อยพอใจ อรรถวิทย์  ซึ่งทำงานดูแลบริษัทอยู่ตั้งแต่ช่วงที่ศิโรตม์อยู่เมืองนอก ศิโรตม์อยากจะปรับบริษัทให้ทันสมัย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้บริษัทมีผลงานทันสมัย ไม่ใช่เชยๆ อย่างที่อรรถวิทย์ทำมา 

วันงานแถลงข่าวงานแสงสีเสียง มีนักข่าวและแขกมากันเต็ม ศิโรตม์แสดงออกถึงความไม่พอใจในความคิดและการทำงานของอรรถวิทย์  ส่วนลติกาก็มาร่วมแสดงบนเวทีอย่างสวยงาม  แม้ว่าจะขัดใจตนเองไม่น้อย    เพราะลติกาเป็นอาร์ตติสต์ชอบวาดรูปมากกว่าโชว์ตัวอย่างนี้

ศิโรตม์ มองการณ์ไกล จึงขอให้เพื่อนคือ ยศสันต์ มาช่วยเรื่องของครีเอทีพ  ยิ่งทำให้อรรถวิทย์ไม่พอใจ

คุณปานทิพย์ ผู้มารดาเตือนศิโรตม์ให้ใส่ใจการทำงาน เพราะศิโรตม์ควรต้องเข้ามาบริหารบริษัทต่อไป  ไม่ควรเพียงมาติการทำงาน   แต่ควรร่วมให้ความคิดและร่วมทำงานพร้อมกับทีมงานตั้งแต่เริ่มต้น

ศิโรตม์ยอมเดินทางไปวัดมเหยงค์ อยุธยาเพื่อไปดูสถานที่ที่จะจัดงานแสงสีเสียงใหญ่ตอนปลายปี   โดยมีปรางทองน้าสาว และ อรรถวิทย์ ไปดูสถานที่ด้วย  ระหว่างกำลังดูสถานที่ ศิโรตม์ได้ยินเสียงดาบปะทะกัน ได้ยินเสียงผู้คนโห่ร้อง  เขาไม่รู้ว่านี่คือเสียงอะไร จึงเลี่ยงจากกลุ่มเพื่อออกตามหาที่มาของเสียงนั้น

ฝนตกหนัก ฟ้าฝนมืดดำ ศิโรตม์พบชายผู้หนึ่งนอนฟุบอยู่ในบริเวณวัด  ดูท่าน่าจะเป็นนักแสดงแสงสีเสียง  เพราะแต่งกายเหมือนนักรบโบราณ   ศิโรตม์ปลุกให้ชายผู้นี้ตื่นขึ้น   เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความงุนงง

ศิโรตม์พยายามซักถาม ก็ได้ความว่า ชื่อ เมืองใจ  แต่เมืองใจพูดจาด้วยภาษาแปลก  และพร่ำพูดถึงแต่การรบ และข้าศึกที่กำลังบุก และเขาต้องการปืนใหญ่ไปสู้ศึก

เมืองใจถามว่า เหตุใดวัดมเหยงค์จึงถูกทำลายเช่นนี้   ศิโรตม์ก็พลอยงงๆ  เพราะวัดก็เก่าโบราณเป็นซากปรักหักพังอย่างนี้มานานแล้ว

ศิโรตม์พยายามจะลาจากไป  เพราะเขาต้องกลับไปสมทบกับทีมงาน   แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ศิโรตม์รู้สึกเป็นห่วงชายแปลกหน้าผู้นี้  เขาคงเป็นโรคความจำเสื่อม  เขาจึงชวนเมืองใจขึ้นรถพากลับบ้านที่กรุงเทพ

เมืองใจยอมขึ้นเกวียนยนต์   เขาแปลกใจกับสิ่งต่างๆ เขาไม่รู้จักรถยนต์  ไม่รู้จักโทรศัพท์  ไม่รู้จักอะไรนอกจากบางระจันและอโยธยา

ส่วนปรางทองที่กำลังเดินดูสถานที่ก็แปลกใจที่อยู่ๆ หลานชายก็หายไป   เพราะเธอนัดลติกา สาวสวย ลูกสาวผู้ถือหุ้นใหญ่ให้มาดูสถานที่ด้วย  แต่ที่จริงเธออยากให้ลติกาได้มาสนิทสนมกับศิโรตม์

ลติกาเมื่อขับรถมาถึงวัดมเหยงค์   เธอก็รู้สึกแปลกๆ และยังได้ยินเสียงประดาบ เสียงคนสู้รบกัน  เธอไม่รู้ว่านี่ คือเสียงอะไร  ลติกามึนงงเพราะระยะนี้ เธอรู้สึกอะไรแปลกๆ   เธอแว่บๆ เห็นภาพชายผู้หนึ่งอยู่เสมอ  เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร  เหตุใดเธอจึงเห็นเขาอยู่บ่อยๆ   แต่วันนี้ เธอได้พบแต่อรรถวิทย์ เธอไม่ได้พบศิโรตม์

เมืองใจตื่นตาตื่นใจและตื่นตระหนกกับสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่คุ้นเคย เขาเข้าใจว่าเขาพลัดหลงมาอยู่ สวรรค์ และคิดว่าศิโรตม์ ก็คือเทวดา  เมืองใจจึงเรียกศิโรตม์ว่า ”ท่านศรี“ และหวังว่าท่านศรีจะพาเขาไปหาปืนใหญ่และสามารถนำกลับไปสู้ศึกได้

คุณปานทิพย์มารดาของศิโรตม์ เดินทางไปทำบุญที่วัดเขานางบวช  และได้พบกับพระรูปหนึ่ง ท่าทางน่าเลื่อมใส ท่านบอกว่า ท่านชื่อ พระวิจิตรธรรมโชติ กล่าวว่า ฝากลูกศิษย์ที่จะไปที่บ้าน และท่านจะตามไปเยี่ยมลูกศิษย์ของท่านด้วย

ศิโรตม์พาเมืองใจกลับมาถึงบ้าน พบศิรสน้องชาย   ศิรสสงสัยในคำพูดและท่าทางแปลกของเมืองใจ  ศิรสตั้งข้อสงสัยว่า เมืองใจน่าจะมาจากอีกมิติหนึ่ง เมืองใจวุ่นวายใจ จนเมื่อได้พบกับคุณปานทิพย์    เขาตกใจ แล้วก้มลงกราบแทบเท้า พร้อมทั้งเรียกคุณปานทิพย์ว่า “ท่านแม่”   คุณปานทิพย์เองก็รู้สึกผูกพันกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้อย่างประหลาด  เธอฉุกใจคิดว่า นี่คือลูกศิษย์พระอาจารย์ธรรมโชติเป็นแน่

แต่เมืองใจคือใคร ยิ่งได้เห็นดาบที่เมืองใจถือมา เมื่อมาเทียบกับดาบโบราณที่อยู่ที่บ้านมายาวนาน   ดาบทั้งสองนั้นเหมือนกันราวกับเป็นดาบคู่ศึก  เมืองใจย่อมมิใช่คนธรรมดา

คุณปานทิพย์ซักถามว่าเมืองใจจะเข้าไปทำอะไรที่อโยธยา เมืองใจก็ตอบว่าไปขอปืนใหญ่มาช่วยชาวค่ายบางระจัน   และเมื่อถามถึงปีที่เมืองใจจากมา เมืองใจตอบ เดือนห้า ปีระกา สัปตศก นั่นคือ  ปีระกา พ.ศ.2308 ทุกคนถึงกับนิ่งอึ้ง  จะปักใจเชื่อได้หรือไม่ว่า บุคคลตรงหน้าคือบรรพบุรุษแต่เก่าก่อน

คืนนั้นกว่าจะได้เข้านอน  ศิโรตม์ต้องดูเมืองใจสวดมนต์ร่ายพระเวทย์หลายอย่าง ศิรสกลับถูกคอ และเข้าใจเมืองใจกว่าศิโรตม์ เมืองใจเชื่อมั่นว่าเขาอยู่บนสวรรค์ เทวดาจะบันดาลปืนใหญ่กลับไปให้ แล้วค่ายบางระจันก็จะชนะ ศิโรตม์และศิรสมองตากัน และพยายามที่จะไม่พูดเรื่องบางระจันแตก

ส่วนคุณปานทิพย์ค้นพงศาวดารเพื่อหาร่องรอยของเมืองใจ เธอกลับพบชื่อของพระอาจารย์ธรรมโชติแทน ในพงศาวดารกล่าวเพียงว่าพระอาจารย์หายไปจากค่ายหลังค่ายแตกแต่ไม่มีใครพบเห็น ปานทิพย์ค่อนข้างมั่นใจว่าพระอาจารย์วิจิตรธรรมโชติ กับพระอาจารย์ธรรมโชติ ในค่ายบางระจันน่าจะเป็นพระรูปเดียวกัน

ขณะที่ศิโรตม์นอนหลับ เมืองใจกลับหลับไม่ลง เขามองพระจันทร์พลางหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่ชาวบ้านต่างได้รับบาดเจ็บจากการออกไปรบ และเขาเห็นหน้านวลน้อยๆ ของจันกะพ้อ

กรุงเทพ ในเช้าวันรุ่งขึ้น  เมืองใจให้ศิรสลองใช้เสียมตีเพื่อแสดงวิชาคงกะพันให้ดู รอยสักน้ำมันเรืองรองขึ้นจากผิวของเมืองใจ   ศิรสเริ่มมั่นใจว่าเมืองใจข้ามพ้นอดีตมาสู่ปัจจุบัน   แต่ปรางทองน้าสาวได้มาเห็นตอนช่วงที่  ศิรสกำลังตีเมืองใจ   ด้วยความที่ไม่รู้จึงสร้างความตกอกตกใจไม่น้อย

วันรุ่งขึ้น  ปรางทองพาลติกามาร่วมถวายเพลพระวิจิตรธรรมโชติ   

ลติกาออกมาที่ริมน้ำกับศิโรตม์ทั้งสองคนต่างรู้ว่าผู้ใหญ่กำลังจับคู่ให้   ศิโรตม์ก็ถามตรงๆ ว่าลติกาต้องการอะไรจากเขา ลติกาเองก็บอกว่าเธอเองมางานวันนี้เพราะถ้าเธอมาก็จะได้เปิดงานแสดงภาพที่บ้านได้ พ่อแม่อยากให้เธอมาทำความรู้จักกับศิโรตม์ไว้ แต่เธอไม่เห็นด้วยและไม่ได้คิดอะไรอื่นทั้งนั้น    ศิโรตม์เองก็บอกว่า เขาเองก็ต้องทำงานดูแลบริษัท  และน้าสาวก็สั่งให้มาดูแลลติกาเหมือนกัน    ทั้งสองเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งคู่ดี  ศิโรตม์คิดอะไรดีๆ ได้ ในเมื่อทั้งสองคนต่างก็มีผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำไมเราเองไม่พยายามจะปรับตัวเข้าหากันแทน เรื่องจะได้ดีต่อทั้งสองฝ่าย เราก็มาลองคบกันไปเลย    ลติกาว่าทำไมมองความรักเป็นเรื่องง่ายดาย

แต่แล้ว  ลติกาจึงได้พบกับเมืองใจ   เธอตกใจที่ชายผู้นี้มีหน้าตาละม้ายชายที่เธอฝันถึง   เธอซักถามศิโรตม์ว่าเขาคือใคร   เพราะเธอไม่เชื่อว่าเขาคือนักแสดงจากต่างประเทศตามที่ศิโรตม์บอก

เมื่อพระอาจารย์มาถึง   เมืองใจอึ้งไปเมื่อพบว่า ท่านคือ พระอาจารย์ธรรมโชติ  พระอาจารย์ของชาวบางระจัน   พระอาจารย์พูดเป็นนัยๆ กับเมืองใจ  และท่านยังเสกข้าวทิพย์ศิโรตม์  ทันที่ที่ศิโรตม์เคี้ยวข้าวทิพย์ เขาเห็นภาพการสู้รบที่เขาไม่เข้าใจว่าคืออะไร ส่วนคุณปานทิพย์นั้นพระอาจารย์เนรมิตร พระเม็ดน้อยหน่าองค์น้อยให้ ซึ่งน่าแปลกที่ปานทิพย์สามารถอธิบายได้ราว กับคุ้นมานาน

ที่บางระจัน นายจันนำศพ นายเกิดนายคงกลับมา กาหลงเศร้าเสียใจไม่เป็นอันทำสิ่งใดเพราะ เป็นห่วงเมืองใจ ที่หายเงียบไป ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดี   ขณะเดียวกัน  มีชาวบ้านอพยพมาที่ค่ายบางระจันเพิ่มมากขึ้นอีก  รวมถึง ปล้อง เฟื่องแฟง  สามพี่น้องที่ร่ำลือกันถึงความเก่งกล้าในการสู้รบ   จันกะพ้อดีใจยิ่งนัก ทั้งสามคือเยี่ยงอย่างที่เธอจะดำเนินรอยตาม  จันกะพ้อจึงมุ่งฝึกดาบกับนายแท่น ด้วยหวังว่าจะได้ไปช่วยออกรบและตามหาเมืองใจ
 
ศิโรตม์ เริ่มเชื่อว่า เมืองใจเป็นคนมาจากบางระจัน  แต่เขาข้ามมาอยู่ในยุคนี้ได้อย่างไรนั้น  ไม่มีใครมีคำตอบ   ศิโรตม์คิดว่าหากเมืองใจกลับไปบางระจัน   เมืองใจก็ย่อมต้องตายไปพร้อมกับชาวบ้านบางระจัน   เขาจึงจะพยายามจะให้เมืองใจรู้จักโลกยุคนี้   แต่เมืองใจนั้นไม่สนใจสิ่งใดนอกจากปืนใหญ่

ศิโรตม์พาเมืองใจไปยิงปืน เมืองใจลองยิง สามารถยิงได้แม่นยำ แต่ก็ยังยืนยันว่า กระสุนเล็ก เท่านี้ทำอะไรข้าศึกไม่ได้  ต้องปืนใหญ่เท่านั้น  ศิโรตม์จึงพาเมืองใจไปกระทรวงกลาโหม ซึ่งเมื่อเมืองใจเห็นปืนใหญ่ก็ดีใจมาก  ศิโรตม์พาเมืองใจเข้าไปใกล้ เมืองใจสัมผัสปืนใหญ่ บอกว่าการเดินทางของเขาในที่สุดก็สำเร็จแล้ว    เมืองใจเอ่ยปากขอปืนใหญ่กับศิโรตม์ ทำให้ศิโรตม์หนักใจ   เพราะไม่สามารถให้ได้  เมืองใจไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้มิได้   ทั้งมีปืนใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย

เมื่อไม่ได้ปืนใหญ่ดังใจหวัง    เมืองใจก็อยากกลับบางระจันเพราะเป็นห่วงสถานการณ์ที่ค่าย ศิโรตม์ถามว่า อยู่ที่นี่ปลอดภัยกว่า จะกลับไปทำไม เมืองใจตอบว่า  เขาจะอยู่สุขสบาย และทิ้งให้เพื่อนชาวบางระจันลำบาก  ต้องสู้รบกันโดยไม่มีเขาไม่ได้   ศิโรตม์บอกว่า บางระจันหรือจะสู้ข้าศึกได้   เมืองใจกล่าวว่า  ไม่ว่าจะสู้ได้หรือไม่ได้  ขอได้เพียงได้ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน เพื่อคนที่เรารักจนถึงนาทีสุดท้ายที่สิ้นลม ชีวิตที่เกิดมาก็นับว่ามีค่าที่สุดแล้ว  

ลติกา เริ่มฝัน เห็นภาพกาหลงพูดกับจันกะพ้อ  ลติกา วาดรูปจันกะพ้อ

ลติกา ‘ขโมย’ เมืองใจออกไปเที่ยว ด้วยความหวังว่า จะช่วยให้เมืองใจ มีความสุขขึ้น เมืองใจอาจตื่นเต้นกับ ‘สวรรค์’ ที่แปลกตา แต่ไม่มีความสุข

ลติกา พาเมืองใจมาแกลลอรี่ ของตนเอง และเปิดภาพจันกะพ้อ เมืองใจฉงน ลติกาพยายามซักว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

เมืองใจทนรออยู่ไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านของศิโรตม์ ติดรถคนที่ตนเองช่วยขนผักขึ้นรถมาส่งหน้ากระทรวงกลาโหม หวังจะนำปืนใหญ่ไป แต่เมื่อยกไม่ขึ้นก็นั่งอยู่ที่นั่น  ทางบ้านคุณปานทิพย์ ศโรตม์ ศิรส ลติกา พากันตกใจที่เมืองใจหายไป  ศิโรตม์เดาได้ จึงมาตามเมืองใจที่หน้ากระทรวง หว่านล้อมให้กลับเพราะจะทำให้ ท่านแม่ เป็นห่วง  เมืองใจจึงยอมกลับ

คุณปานทิพย์ จึงได้มอบดาบเล่มที่อยู่ที่บ้านให้เมืองใจ   บอกว่าดาบนี้เป็นดาบคู่ศึก  เมื่อดาบทั้งสองได้มาพบกัน  สมควรที่จะได้อยู่คู่กันดังเดิม   เมืองใจรับดาบมาด้วยความซาบซึ้งใจ

คุณปานทิพย์เห็นความทุกข์ของเมืองใจ ก็นึกขึ้นได้ว่า น่าจะพาเมืองใจไปพบพระอาจารย์ธรรมโชติ  ท่านคงจะให้คำตอบได้ทั้งหมด   ศิโรตม์พร้อมด้วยคุณปานทิพย์ ลติกา จึงขับรถพาเมืองใจไปวัดเขานางบวช ก่อนไปเมืองใจคว้าดาบคู่ออกจากบ้านมาด้วย

ระหว่างทาง  ฟ้าฝนเริ่มมืดครึ้ม ฝนเทลงมาอย่างหนัก มีกิ่งไม้หล่นลงมาแขวงทาง ทั้งศิโรมต์ และเมืองใจลงจากรถไปลากกิ่งไม้ออกไป มีคน เห็นทั้งสองหิ้วกิ่งไม้ไปไหวๆ แล้วกิ่งไม้ก็ร่วงลง แต่คนหายไป

ปานทิพย์อยู่ในรถเป็นห่วง ทำไมหายไปนาน  ฝนกลับซาลงอย่างรวดเร็ว  ศิรสออกจากรถวิ่งตามไป ศิรสวิ่งกลับมาบอกว่า หาเมืองใจและศิโรตม์ไม่พบ   คุณปาน และ ลติกา เดินลงมามองไปรอบๆ ไม่พบทั้งสองจริงๆ 

เมืองใจ และศิโรตม์   หายไปในวงล้อแห่งเวลา ด้วย พันธะสัญญา บางอย่าง คืนสู่บางระจัน

ศิโรตม์และเมืองใจกลับไปบ้านบางระจัน  ท่ามกลางความงุนงงของศิโรตม์ในตอนแรกที่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ภาวะสงคราม เลือด ความตายที่เห็นต่อหน้าต่อตา ทำให้ศิโรตม์เป็นลมไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งที่ทับของเมืองใจ ก็ได้พบ ‘หนุ่มน้อย’ คนหนึ่ง นั่งมองเขาอย่างฉงนและสนใจ ต่อมาการต่อปากต่อคำ ทำให้ศิโรตม์รู้ว่าแท้ที่จริง เธอเป็นผู้หญิง แก่นแก้ว ห้าวหาญเหมือนเด็กผู้ชาย  ชื่อ จันกะพ้อ

จันกะพ้อถามเมืองใจว่าคนแปลกหน้า ท่าทางชอบกล แต่งตัวแปลกผู้นี้คือใคร เมืองใจจึงบอกว่าเป็นชาวสยามด้วยกันที่พบระหว่างเดินทาง  แต่จันกะพ้อยังสงสัย

ชาวบ้านทั้งหลายเข้ามารุมล้อมดีใจที่เมืองใจกลับมาปลอดภัย  และต่างมองศิโรตม์ด้วยสายตาประหลาดใจ ไม่คุ้นเคย

กาหลงรีบวิ่งมาแต่ไกล   ดีใจนักที่เมืองใจคืนมา

ศิโรตม์ตกใจที่พบกาหลง  เรียกเธอว่า ตีน่า   เมื่อเจ้าจันบอกว่าไม่ใช่  ศิโรตม์ก็ตกใจ  เหตุใดเธอช่างเหมือนลติกายิ่งนัก   มิน่า เมืองใจถึงได้ตกใจเมื่อเจอหน้าลติกา   แต่คราวนี้ เป็นศิโรตม์เองที่ประหลาดใจ

ศิโรตม์พบว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางและกลายเป็นตัวประหลาดยิ่งกว่า เมื่อตอนที่เมืองใจไปอยู่ในโลกปัจจุบันเสียอีก 

นายจันหนวดเขี้ยวก็เข้ามาถามถึงสารทุกข์สุขดิบ   และเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมืองใจยอมรับโดยตรงว่า เสียใจที่เอาปืนใหญ่มาไม่สำเร็จ เพราะเขาหลงทาง นายทองเหม็นหงุดหงิดที่เมืองใจเอาปืนใหญ่มาไม่ได้แต่กลับพาคนแปลกหน้ามา

คนที่เชื่อมโยงระหว่างศิโรตม์และภพที่เขาจากมา คือ พระอาจารย์ธรรมโชติ ที่บอกเขาเพียงว่า เขามาเพราะ กรรมะ พันธะ สัญญา มาเพื่อได้รู้ได้เห็น แต่เขาไม่อาจเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้และไม่รู้จะได้กลับไปยังช่วงเวลาของเขาเมื่อใด  สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ คือต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ใน ‘อดีต’ ที่เป็นปัจจุบันของเขาในเวลานี้ ในฐานะ ไอ้ศรี ของคนทั้งหมูบ้าน  และ เทวดาของเมืองใจ

เมืองใจจึงปรึกษาหารือนายแท่น และ นายจันหนวดเขี้ยวเรื่องรับมือกับข้าศึก  เมืองใจเสนอให้จัดทัพเข้าสู้   เพราะ หากสู้ประชิดตัวแล้ว   บางระจันไม่แพ้แน่นอน แต่แล้วเมืองใจก็ได้รู้ความเคลื่อนไหวว่า ข่าวว่า ข้าศึกกำลังจะได้ปืนใหญ่ และเมื่อนั้น บางระจันคงรับมือไม่ได้อีกต่อไป

จันกะพ้อยังคงไม่ไว้ใจ  คิดว่าศิโรตม์เป็นสายของทัพอื่น   ลอบเข้ามาเพื่อทำลายค่ายบางระจัน   โชคยังดีที่พระอาจารย์ธรรมโชติให้ศิโรตม์เข้ามาหาเพื่อมอบผ้าประเจียดของแม่ (ชายผ้านุ่งที่ฉีก)

ศิโรตม์ประหลาดใจมาก  งั้นแสดงว่าพระอาจารย์เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาบางระจัน  งั้นต้องมีทางเดินทางกลับไปได้แน่นอน   พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่า กรรมพาให้เขาต้องมาทำในสิ่งที่ผูกพันไว้   ศิโรตม์ไม่เข้าใจ  ขอให้พระอาจารย์ช่วยพากลับ  เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ไม่อยากตายที่นี่ พระอาจารย์ธรรมโชติให้สติว่า คนเราอย่างไรก็หนีกรรมไม่พ้น ทุกคนมีหน้าที่ต้องกระทำ และการกระทำนั่นเองคือเครื่องกำหนดกรรม

ศิโรตม์นั่งอยู่คนเดียวริมสระบัวในค่ายบางระจันในเวลาพลบค่ำ เขานึกไม่ออกว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร เพราะค่ายบางระจันต้องแตกในไม่ช้า  แล้วเขาจะทำอย่างไร   จันกะพ้อเดินเข้ามาพูดแหย่  ว่าคิดถึงบ้านหรือ ที่บ้านเจ้ามีใครอยู่บ้างเล่า  ศิโรตม์จึงเล่าว่าตนมีแม่ มีน้อง  และป่านนี้คงจะเป็นห่วงเขาไม่น้อย

จันกะพ้อ มองหน้าศิโรตม์  พูดว่า  ดีนะที่เจ้ามีแม่ให้ห่วงหา

กรุงเทพ คุณปานทิพย์ค้นพงศาวดาร  พบว่ากรุงศรีอยุธยาจะเสียกรุงในอีกไม่กี่เดือนนับจากปีที่เมืองใจอยู่ คุณปานทิพย์ใจหายด้วยความเป็นห่วงทั้งศิโรตม์และเมืองใจ  เธออยู่ที่นี่จะช่วยลูกทั้งสองได้อย่างไร  เธอสวดมนต์ขอให้เมืองใจผู้เป็นลูกชายปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง 

ศิโรตม์ได้พบนักรบหลายคน ที่เขาเคยแต่ได้ยินชื่อ  แต่ครั้งนี้  คือ ตัวจริงที่ยังคงมีชีวิตมีเลือดเนื้อ ศิโรตม์ขนลุกซู่  บุคคลเหล่านี้นี่เล่าคือบรรพบุรุษที่ปกป้องแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานอย่างเขา ศิโรตม์ซึมซับสายเลือดขอบางระจันไปทุกที

ศิโรตม์ได้เห็น นายก้านถูกฟันแขนร่องแร่ง  ไข้ขึ้นสูง ศิโรตม์คิดว่า เขาจะช่วยได้อย่างไร เพราะแน่ใจว่าลำพังสมุนไพรห้ามเลือดคงไม่สามารถช่วยได้  เขาบอกเจ้าจันว่า แขนเกือบขาดอย่างนี้ต้องเย็บแขนเข้าไว้ด้วยกัน จันกะพ้อตกใจ ไม่เคยได้ยินมาก่อน  เคยรู้แต่เย็บผ้า  นี่คนนะ จะทำได้อย่างไร  ศิโรตม์บอกว่า ทำอย่างไรก็ตาย เลือดออกแบบนี้  ถ้าจะให้ตัดแขนทิ้ง ก็จะยิ่งทำให้ตายเร็วขึ้น  เขาขอรับรองว่า นายก้านต้องรอด   ศิโรตม์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองมั่นใจอะไร

เอี้ยงพี่สาวนายก้านด่าว่าศิโรตม์ว่าจะทำให้น้องชายตาย  คนอื่นๆ ก็เริ่มไม่พอใจ พระอาจารย์เดินมาบอกว่า ดูเขาก่อน การรักษามีหลายวิธี ให้ศิโรตม์รักษาแล้วนายก้านจะรอด  เอี้ยงจึงสงบลง ถึงกระนั้น ศิโรตม์เองก็หนักใจไม่น้อย เพราะเขาไม่ใช่หมอเทวดาจากที่ไหน

ศิโรตม์สั่งการ  ขอเข็มเย็บผ้า  ด้าย เหล้าโรง เทียน  ผ้าสะอาด และอ่างน้ำ

เมืองใจมายืนดู เขามั่นใจว่า ศิโรตม์ทำได้แน่นอน

ศิโรตม์เอาเหล้าขาวเช็ดแผล  เอาด้ายแช่เหล้าเพื่อฆ่าเชื้อโรค  เอาเข็มลนไฟ แล้วดึงด้ายมาร้อย  เขามือไม้สั่น จับแขนนายก้านให้เข้าที่ แล้วค่อยๆ บรรจงเย็บจนเสร็จ  เขาเอาผ้าสะอาดพันแขนนายก้านไว้

นายก้านไข้ขึ้นสูง  ศิโรตม์เอาน้ำเย็นจากอ่างชุบเช็ดตัวลดไข้   เอี้ยงโวยวายอีกว่าจะฆ่ากันหรือ เดี๋ยวตะพ้านกินตาย ศิโรตม์เหลือบมอง เขาขี้เกียจอธิบายแล้ว เขาเช็ดตัวนายก้านไปเรื่อยๆ จนตัวเริ่มเย็นลง เมืองใจบอกว่า ขอบใจหมอเทวดา

แทรกปัจจุบัน

ในระหว่างที่ศิโรตม์ ไม่อยู่  ลติกา ต้องรับเข้ามาช่วยงานบริษัทศิวะกรุ๊ปอยู่ แทนศิโรตม์ เพราะคุณปานทิพย์ ไว้ใจว่าเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนในขณะที่คุณปานทิพย์ไม่มีแก่ใจ แต่นั่นทำให้ อรรถ เริ่มคิดถึงความภักดีที่เขามีมาตลอดเวลาว่า มันไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย การยักยอกของ อรรถ เขาไม่บอกความจริงแม้แต่ อรรถวิทย์ ลูกชาย

ยศสันต์ มาดูแลเรื่องงานครีเอทีฟที่ต้องไป เสนอราคาแข่งกับบริษัทอื่น เริ่มสังเกตว่า ความลับของบริษัทต้องมีการรั่วไหล จึงแพ้การแข่งขัน บางครั้งก็เรื่อง ครีเอทีฟ บางครั้งก็เรื่องราคา จนจับได้ว่าอรรถวิทย์เปิดบริษัท นอมินีเพื่อชิงงาน อรรถขอลาออกเพื่อรับผิดชอบความผิดของลูก แต่แท้จริงทั้งสองคนวางแผนเพื่อฮุบบริษัท

ลติกา กำลังอยู่ในช่วงระหว่างค้นหาอดีตของตนเองที่เกี่ยวพันกับ เมืองใจ บางระจัน เพื่อพยายามล่วงรู้ให้ได้ว่า ศิโรตม์ที่หลงอยู่ในยุค บางระจัน เป็นเช่นไร และที่สำคัญ เมืองใจเป็นเช่นไร  ความหวังริบหรี่ที่ ลติกา พยายามหาทางช่วยเหลือ เมืองใจและศิโรตม์ จนได้ชื่อ หมอนันทเดช ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง สำกดจิตรำลึกอดีต

หมอนันทเดช  เป็นหนุ่มสดใส ร่าเริงและมีความแปลกกว่าหมอทั่วไป  มักขี่จักรยานมาทำงานและไม่ค่อยง้อคนไข้  โดยเฉพาะกับ ลติกา ที่เมื่อแรกพบออกจะไม่ถูกชะตากันบ้าง ศิรส เป็นคนขอให้ลติกาง้อๆ หมอ จนในที่สุด หมอนันทเดช ยอมช่วยเหลือ

การล้วงค้นเข้าภาวะจิตของ สลิกา ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เหมือนเปิดประตูชีวิต ล้างปมในหัวใจของหญิงแกร่ง ปราดเปรียวของลติกามากขึ้นเรื่อยๆ  และหมอนันทเดชเอง ก็เริ่มพึงใจลติกามากขึ้น  จนทำให้ยศสันต์แอบหึงหวง   กลายเป็นกุ๊กกิ๊กรักสามเส้ากรายๆ

ถ้าในอดีต กาหลง คือ สาวที่ไปหลงรักเมืองใจฝ่ายเดียว ชาตินี้ ลติกา ก็กลายเป็นสาวที่มีแต่ชายหนุ่มหมายปอง แต่สุดท้าย หัวใจรักมั่นของลติกา ก็เพียงแค่ กับเมืองใจ

ลติกา ประสบความสำเร็จในการดำดิ่งลงไปสู่อดีต เห็นเหตุการณ์เป็นระยะๆ จนรู้ว่ากำลังจะเข้าสู่การรบครั้งสุดท้าย  หมอนันทเดช เห็นท่าไม่ดี เมื่อ ลติกา เอาจิตตนเองไปสวมกับจิตของกาหลงในครั้งหลังๆ จนแทบรู้สึกร่วมไปกับกาหลง  หมอนันทเดช จึงไม่ยอมให้ลติกา ถูกสะกดจิตอีก และเพราะเขาเองก็หลงรักเธอ หมอนันทเดชจึงเลือกที่จะจากไป

คุณปานทิพย์ก็เป็นห่วงลติกา และเธอใช้วิธีไปตามหาพระอาจารย์ธรรมโชติ วิงวอนให้นำลูกชายของเธอกลับมา พระอาจารย์ไม่รับปาก

เมืองใจซึ่งเพิ่งเสร็จจากการหารือเรื่องศึกกับนายจันหนวดเขี้ยว  เดินมาพบเจ้าจันร่ำไห้ไป ฟันต้นกล้วยไป เมืองใจรู้ว่าเจ้าจันคิดถึงแม่อีกเช่นเคย
  
เมืองใจจึงเข้าไปปลอบโยน  จันกะพ้อบอกว่าหากวันนั้นเธอมีวิชาเก่งกล้าก็คงจะช่วยแม่ไว้ได้ เมืองใจมองตาเจ้าจันด้วยความรักและสงสารจับใจ  เจ้าจันมองกลับแต่ดูสับสนมาก เมืองใจบอกให้เจ้าจันอย่าได้เศร้าใจไป  สิ่งที่ผ่านไป เราแก้ไขอะไรมิได้ แต่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าในวันพรุ่งนี้  ชะตาอยู่ที่มือของเรา

กาหลงตามหาจันกะพ้อ   กาหลงชงักเมื่อเห็นเมืองใจอยู่กับจันกะพ้อ แต่กาหลงตัดใจก็เข้ากอด เช็ดน้ำตาให้เจ้าจัน
   
ศิโรตม์ตามมา มองเห็นภาพของทั้งสามคนตรงหน้า หารู้ไม่ว่าวันข้างหน้า เขาจะเป็นหนึ่งที่จะวนเวียนอยู่ในห้วงรักกับคนทั้งสามนี้
  
กาหลงพาเจ้าจันเดินกลับไป  ศิโรตม์ถามเมืองใจตรงๆ ว่ามีใจให้จันกะพ้อใช่ไหม ทำไมไม่บอกพูดสิ่งใดให้เจ้าจันรู้    เมืองใจยิ้มเช่นเดิม  และกล่าวว่า ไม่ใช่เวลา

สนามรบ

ศิโรตม์ที่ทำอะไรไม่ถูกในสนามรบ  มันไม่เหมือนกับในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู  เขาเห็นนายทองเหม็นขี่ควายเข้าไล่แทงพม่า  นายแท่นรบด้วยดาบสองมือ  เมืองใจนำไปก่อนแล้วเป็นทัพหน้า  ศิโรตม์ยืนมองเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย  เขาไม่เคยคิดว่าจะเห็นมนุษย์ที่ไม่เคยรู้จักกันต้องมาไล่ฆ่ากันแบบนี้  เจ้าจันช่วยศิโรตม์ให้หลบลูกธนูได้ทัน พลางดุศิโรตม์เสียงดังว่านี่ไม่ใช่เวลามายืนทำวิปัสสนา  ศิโรตม์นึกถึงหน้าที่ขึ้นมาได้  เขาดึงสติกลับมา  ศิโรตม์ห้ามไม่ให้เมืองใจบุกเข้าไปลึกกว่านั้นเพราะจะถูกล้อม ด้วยการจัดการของศิโรตม์ นักรบบางระจันกำลังใจดี และสู้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย   

การรบสิ้นสุดลงก่อนเที่ยง ศิโรตม์งงว่าทำไมรบกันแค่นี้  เจ้าจันอธิบายว่าเพราะต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและหิว  ควรกลับไปพักก่อน อีกสองสามวันจึงจะรบใหม่  ศิโรตม์มองหาเมืองใจ  โล่งใจที่เห็นว่าเมืองใจปลอดภัยดี  ทางฝ่ายบางระจัน ไม่มีใครเสียชีวิต มีแต่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น  ทุกคนโห่ร้อง ดีใจกับชัยชนะ  มีแต่ศิโรตม์ที่รู้สึกแปลกๆ กับการที่คนสองกลุ่มที่ไม่ได้เกลียดกันต้องมาฆ่ากันเช่นนี้

นักรบทั้งหลายคนพากันเดินกลับเข้าค่าย  ชาวบ้านวิ่งมาต้อนรับ  คราวที่แล้ว  ตัวเขาวิ่งออกมารับนักรบ แต่คราวนี้  เขาเป็นฝ่ายได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษ

เมืองใจและศิโรตม์ล้างหน้าล้างตาที่ริมน้ำ  เมืองใจรู้ว่าท่านศรีสับสน  ศิโรตม์บอกว่าก็เห็นอยู่ว่าทหารสองฝ่ายไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากฆ่ากัน ไม่เช่นนั้นคงไม่นัดแนะกันหยุดพัก ไว้พร้อมทั้งคู่ค่อยออกมารบใหม่ 

เมืองใจบอกว่า นี่คือหน้าที่ต่อแผ่นดิน  ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตน ต่างคนต่างมีครอบครัวให้คิดเป็นห่วง ศิโรตม์บอกว่า  ในเมื่อไม่ได้เกลียดกัน  ไม่ได้อยากจะฆ่ากัน  ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่คุยกันด้วยสันติวิธี เจรจาสงบศึกกัน เมืองใจบอกว่า  เราก็อยากให้เป็นเช่นนั้น 

ศิโรตม์ถามพระอาจารย์ธรรมโชติว่า  ให้เขามาที่นี่เพื่อมาเห็นค่ายแตกหรือ  เขาทำอะไรไม่ได้เลยหรือถ้ารู้ว่าแพ้  ก็อย่าสู้เลยดีกว่า  บอกให้ชาวบ้านหนีไปดีกว่า

พระอาจารย์บอกศิโรตม์ว่าทุกอย่างมีกรรมะเป็นเครื่องตัดสิน  และทุกอย่างในจักรวาลล้วนเป็นเหตุเป็นผลกันทั้งสิ้น แค่นี้จะยอมแพ้เสียแล้ว ไม่อายบรรพบุรุษหรือ  แล้วพระอาจารย์ก็พาศิโรตม์เดินออกไปที่ลาน  เมืองใจและนายแท่นกำลังฝึกดาบสองมือกันอยู่  ทำให้ศิโรตม์เกิดแรงฮึดสู้ขึ้นมาใหม่ 

ศิโรตม์บอกเมืองใจว่า ข้าศึกมีอาวุธที่ดี  แม้บางระจันมีนักรบที่เก่งกล้า แต่เราอาจสู้ศึกไม่ได้ 

เขาพยายามบอกให้เจ้าจันและทุกคนไปอยู่กับพระยาตาก  จะได้รอดเจ้าจันบอกว่าไม่  ศิโรตม์ บอกว่า จะสู้ทำไม เพราะแม้จะสู้อย่างไรก็แพ้แน่นอน   ขอให้เจ้าจันเชื่อใจเขา เจ้าจันโวยว่าศิโรตม์คิดเช่นนี้ได้อย่างไร เราจะล่วงรู้วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร แล้วเธอก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะสู้ไม่ถอยอย่างแน่นอน  ตราบใดที่คนบางระจันจะสู้ เธอหักหลังพวกเขาไม่ได้ แล้วศิโรตม์เองก็เคยพูดว่าสตรีก็เท่าเทียมกับชาย เธอจึงจะขอรบเคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อรักษาบ้านไว้ด้วยไม่ได้เชียวหรือ ศิโรตม์มองด้วยความเป็นห่วงเจ้าจันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้ว่าอย่างไรเจ้าจันก็ไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน

ริมบึงบัว  ศิโรตม์เครียดและท้อ เขาตะโกนเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์ เงยหน้ามาพบพระอาจารย์ธรรมโชติ พระอาจารย์ให้ตั้งสติให้มั่น ศิโรตม์ขอให้พระอาจารย์ช่วยนายแท่นด้วย ไม่อย่างนั้น บางระจันคงไม่มีทางชนะได้ พระอาจารย์เตือนสติว่า บางระจันเคยมีจุดจบที่ศิโรตม์เองก็รู้อยู่แล้ว ศิโรตม์คร่ำครวญว่า ให้เขามาทำไม ให้มาเห็นผู้คนล้มตาย พ่ายแพ้ โดยช่วยอะไรไม่ได้งั้นหรือ  พระอาจารย์ตอบว่า กรรมะมีทางของมัน  ศิโรตม์ได้ช่วยแล้ว ได้บรรเทาแล้ว  และจะได้ทำอีกต่อไปในภาคหน้า  ศิโรตม์ไม่เข้าใจ

ศิโรตม์เสียใจและท้อแท้  ศิโรตม์เปิดเผยกับเมืองใจ ว่า ตนเองไม่ใช่ เทวดา ไม่สามารถบันดาลอะไรให้ได้ แล้วเขาก็พบว่าทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ถึงรบอย่างไรก็ไม่มีทางชนะ

เมืองใจกล่าวว่า  แต่แม้จะรู้ว่าแพ้  เขาก็ยังคงต้องสู้ต่อไป  เพราะนี่คือ หน้าที่ที่สำคัญ คือ ทุกคนต้องสู้เพื่อชาติ  บ้านเมืองของตนให้ถึงที่สุด ศิโรตม์มองหน้าทุกคน ทุกคนดูมีแววตาที่มุ่งมั่นว่าอย่างไรก็ไม่ถอยแน่นอน ในขณะที่เจ้าจันปลอบและให้กำลังใจศิโรตม์  ศิโรตม์ซาบซึ้งใจ แต่ก็นึกได้ถึงสิ่งที่ควรทำ

ในใจของศิโรตม์นั้นเริ่มกลายเป็นความรักและผูกพันกับจัน  

แต่เ

แกลลอรีGallery อตีตา